วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ร่างโลกร้อนสรุปผลไม่ได้ ขอประชุมต่ออีกวัน


(ภาพ:AP)

การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง สมัยที่ 21 หรือที่เรียกว่าค็อป 21 ในกรุงปารีส ฝรั่งเศส ที่ควรจะบรรลุข้อตกลงแก้ปัญหาโลกร้อนในวันที่ 11 ธ.ค. กลับต้องประสบปัญหาซ้ำรอยอีกครั้ง หลังผู้แทนเจรจาจาก 195 ประเทศ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมได้ และทำให้การประชุมต้องยืดเยื้อต่อไปในวันที่ 12 ธ.ค. เพื่อแก้ไขร่างข้อตกลงจนกว่าทุกฝ่ายจะพึงพอใจ

นายโลรองต์ ฟาเบียส รมว.ต่างประเทศฝรั่งเศส ตัวแทนชาติเจ้าภาพการประชุมเปิดเผยว่า ร่างข้อตกลงจะถูกเสนอต่อที่ประชุมในวันที่ 12 ธ.ค. เกินระยะเวลาการประชุมมาอีก 1 วัน เพราะว่าอยากจะทำให้ครอบคลุม ถามความเห็นจากทุกชาติ เพื่อให้เป็นร่างที่ทุกคนร่วมกันทำ หลังจากร่างที่สรุปผลออกมาวันที่ 10 ธ.ค. ตัวแทนจากบางประเทศยังแย้งอยู่ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ชาติร่ำรวยผลักภาระการรับมือปัญหาโลกร้อนไปให้ชาติกำลังพัฒนา ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานด้วยว่า ตัวแทนจากจีน สหรัฐฯ รวมถึงบางประเทศอยู่ระหว่างถกเถียงกันว่าใครควรจะรับภาระเท่าไรในการรับมือสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง และใครจะต้องควักกระเป๋าเท่าไรในการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด ซึ่งวันเดียวกันนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้หารือผ่านทางโทรศัพท์ พูดถึงความร่วมมือรับปัญหาโลกร้อน แต่มิได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม

สำหรับร่างข้อตกลงฉบับใหม่ ที่จะถูกเสนอต่อที่ประชุมในวันที่ 12 ธ.ค. มีรายละเอียดครอบคลุมเรื่องการเงิน ที่ภายในปี 2563 แต่ละประเทศไม่ว่าภาครัฐหรือเอกชน จะต้องระดมทุนให้ได้เกิน 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี เพื่อมาช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา ในการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปรับตัวรับมือน้ำท่วม คลื่นความร้อน และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เรื่องเป้าหมายระยะยาว ที่จะควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้ร้อนขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส หรือจะให้ดีก็ไม่ควรเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ไปจนถึงการควบคุมปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบในกรอบเวลาหลังปี 2593

ส่วนรายละเอียดในร่างที่ยังมีปัญหา มีทั้งเรื่องกลุ่มชาติกำลังพัฒนาต้องการให้สร้างกลไกขึ้นมาช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน แต่ถูกคัดค้านพอพูดถึงการช่วยเหลือค่าเสียหาย หรือเรื่องที่ว่ากลุ่มชาติพัฒนาควรจะเป็นผู้นำในการลดก๊าซเรือนกระจกและการระดมทุนช่วยเหลือต่อไป ซึ่งก็มีการแย้งกลับว่าในกลุ่มชาติพัฒนาเองก็มีประเทศที่ลงแรงไม่เท่ากับคนอื่น.
ที่มา   www.thairath.co.th

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น