วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เสรีภาพบนโลกออนไลน์ของไทย‘มีจริงหรือแค่วาทกรรม’



เสรีภาพบนโลกออนไลน์ของไทย‘มีจริงหรือแค่วาทกรรม’ : จักรวาล ส่าเหล่ทู สำนักข่าวเนชั่น
           ในยุคที่การสื่อสารมีความรวดเร็วและกว้างขวาง สมาร์ทโฟนมีราคาถูกแทบติดดิน พร้อมด้วยอัตราค่าบริการที่ไม่แพงมาก ปัจจัยเหล่านี้ทำให้รู้ได้ว่าเรากำลังอยู่ในโลกสมัยใหม่ที่การสื่อสารและการเข้าถึงข้อมูลสามารถทำได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว อยากรู้เรื่องอะไรเพียงพิมพ์หาในกูเกิลก็รู้ได้ไม่ยาก หากดูผิวเผินเราอาจจะรู้สึกว่าเรามีเสรีในการเข้าถึงข้อมูลอะไรก็ได้
           เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม รายงานขององค์กร Freedom House ซึ่งเป็นองค์กรที่ส่งเสริมเรื่องของประชาธิปไตยและเสรีภาพของสื่อทั่วโลก กลับระบุในรายงานเสรีภาพบนอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย 2 ปีที่ผ่านมาว่า “ไม่มีเสรีภาพ” ถึงแม้ว่าจะไม่มีการปิดกั้นเสรีภาพการใช้โซเชียลมีเดีย แต่กลับมีการปิดกั้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองสังคม จับกุมบล็อกเกอร์และผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และควบคุมสื่อภายใต้บรรยากาศของการรัฐประหาร จนทำให้ทาง Freedom House มองว่าอิสรภาพบนโลกออนไลน์ของไทยนั้นไม่มีเสรีภาพ เป็นที่น่าสนใจว่าเหตุไรถึงเป็นเช่นนั้น?
           ในงานสัมมนา “สถานการณ์เสรีภาพอินเทอร์เน็ตไทย ปี2558” ที่โรงแรมวินด์เซอร์ สวีท แอนด์ คอนเวนชั่น “สุภิญญา กลางณรงค์” กรรมการ กสทช. ได้กล่าวถึงภาพรวมของการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของสังคมไทยว่า ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าผู้คนได้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนได้มากขึ้น อีกทั้งประชาชนทั้งที่มีรายได้น้อยและมีรายได้สูงก็ใช้การติดต่อผ่านทางไลน์ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการประมูลคลื่นความถี่ 2100 เมกะเฮิรตซ์ โดยเป็นโอกาสครั้งสำคัญทำให้ประชาชนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบนมือถือได้ง่ายขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวควรจะเกิดขึ้นตั้งนานแล้ว แต่เนื่องจากมีอุปสรรคที่ปิดกั้น ที่ผ่านมารัฐได้ให้เอกชนดูแลเรื่องการสื่อสารในรูปแบบของสัมปทาน ซึ่งคนสมัยก่อนจะรู้ดีว่าการขอติดตั้งโทรศัพท์บ้านนั้นมันยากเย็นเพียงใด และโครงสร้างการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของครัวเรือนในสมัยก่อนก็คงไม่ต้องกล่าวถึง
           สุภิญญา บอกด้วยว่า รายงานค่าบริการของ กสทช.โดยภาพรวมราคาของค่าบริการด้านข้อมูลในปี 2557 จะพบว่ามีการลดลงอย่างมาก อยู่ที่ 0.82 บาทต่อเมกะไบต์ โดยเหตุผลที่ลดลงมากนั้น ส่วนหนึ่งมีการวิเคราะห์กันว่าผู้บริโภคหันไปใช้ 3 จี มากขึ้น ทำให้ผู้ให้บริการแข่งขันนำเสนอโปรโมชั่นมากขึ้น ทำให้คนเข้าถึงบริการที่มากขึ้น แต่การให้บริการในปัจจุบันก็ต้องกล่าวว่ายังไม่ครอบคลุมประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งเรื่องตัวสัญญาณและอุปกรณ์ที่ใช้เข้าถึงด้วย นี่คือภาพรวมของการเข้าถึงซึ่งดีขึ้น แต่ยังไม่ดีพอ
           จากข้อมูลเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยมีมากขึ้น ไม่ว่าจะมีรายได้น้อยหรือรายได้สูง ก็เข้าถึงโลกออนไลน์ได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว
           ขณะที่ “ไกลก้อง ไวทยการ” ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีเพื่อสังคม ได้กล่าวถึงประเด็นการเปิดเผยและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารว่า เมื่อปีที่แล้วประเทศไทยได้มีนโยบายการเปิดข้อมูลของราชการบนโลกออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ www.data.go.th ซึ่งมีข้อมูลของทางการมากถึง 486 รายการ ซึ่งเป็นการ Open Data เปิดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลของทางการได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า โดยประชาชนสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปวิเคราะห์ต่อได้ ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ยังเป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดการทำงานของหน่วยงานราชการด้วย ทำให้การเปิดเผยข้อมูลมีจำนวนมาก
           ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Global Open Data Index จะพบว่าไทยมีอันดับที่ดี โดยในส่วนข้อมูลที่ถูกเปิดเผยมากที่สุดก็คือการจัดซื้อจัดจ้างที่มีการอัพเดตทุกๆ เดือน ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีนโยบายแสดงออกถึงความสุจริตในการดำเนินงาน แต่ก็น่าสนใจว่าจะมีใครที่ตื่นตัวกับข้อมูลเหล่านั้นบ้าง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกสนุกเมื่อได้เห็นข้อมูลดังกล่าว เพราะข้อมูลที่มีการเปิดเผยนั้นจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลเมื่อกระบวนการต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว กล่าวคือไม่มีการบอกว่าการจัดจ้างเป็นอย่างไร ทำไมเอกชนรายนี้ถึงได้รับงาน อีกทั้งการเปิดเผยข้อมูลก็เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดขององค์กรภาครัฐ ด้วยข้อมูลที่มีเท่านี้ก็ต้องอยู่ที่คนนำข้อมูลไปใช้จะต้องเพิ่มศักยภาพของตัวเองให้มากขึ้นด้วย
           ขณะเดียวกัน เมื่อกล่าวถึงการเปิดเผยข้อมูลจะไม่กล่าวถึงการเซ็นเซอร์ไม่ได้ “ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูต รณะนันทน์” ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษานโยบายสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมา กสทช.เคยพูดถึงนโยบายว่าจะไม่มีการพยายามควบคุมเนื้อหาบนโลกออนไลน์ หากแต่ดูแลเรื่องระบบเท่านั้น แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเราจะได้ข่าวว่า กสทช.เอง ได้ขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการในการบล็อกเนื้อหาบางเว็บไซต์เป็นต้น นอกจากนี้เรายังมีกระทรวงวัฒนธรรมที่คอยควบคุมเนื้อหาของสื่อบันเทิงอย่างวิดีโอเกมและภาพยนตร์
           ผศ.ดร.พิรงรอง กล่าวอีกว่า เคยมีข่าวว่าว่าทางการไทยได้พยายามซื้อซอฟต์แวร์แฮ็กเกอร์เข้ามาใช้ โดยได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ตอบว่า การที่มีซอฟต์แวร์ตัวนี้อาจจะทำให้การตรวจสอบสกัดกั้นป้องกันการก่อเหตุร้ายได้ แต่ตนกลับเป็นห่วงว่าจะมีการนำซอฟต์แวร์ดังกล่าวไปสอดส่องคนที่มีความเห็นต่างจากกระแสหลัก และเผยแพร่ข้อมูลของคนนั้นเพื่อทำลาย
           ดังนั้นกล่าวได้ว่าอุปสรรคหนึ่งที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลบนโลกออนไลน์ได้ยาก ส่วนหนึ่งก็จะมาจากการเซ็นเซอร์โดยเจ้าหน้าที่ รวมถึงการเซ็นเซอร์ด้วยกันเอง ทำให้ไม่กล้าค้นหาข้อมูลด้วย และนำเสนอความคิดต่างด้วย
           ในมุมมองของสื่อมวลชน “ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข” บรรณาธิการอำนวยการหนังสือพิมพ์ประชาไท กล่าวว่า ภาวะที่พบในยุค คสช.ทำให้ทำงานยากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ยังไม่เจอมาตรการโดยตรงอย่างเช่นการบล็อกเว็บ แต่สิ่งที่กังวลคือ คสช.อาจใช้กฎหมายง่ายๆ อย่างเช่นการหมิ่นประมาทบุคคล ในการโจมตี อย่างไรก็ตามการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประเทศไทย คำถามคือข้อมูลเหล่านั้นสามารถนำไปทำให้เกิดนัยสำคัญ เช่นประเด็นการทุจริตให้สังคมได้รับรู้ได้หรือไม่
           “ที่ผ่านมาอุปสรรคที่มากที่สุดคือกำแพงของความกลัวของตนเอง จึงจะเห็นความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูล สิ่งที่ คสช.บีบทำให้สื่อส่วนใหญ่ทำตาม คือการเล่นงานที่ตัวบุคคลทั้งสิ้น เช่นเดียวกับกรณีของกลุ่มนักเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตามการไหลรั่วของข้อมูลข่าวสารของระบบข้าราชการจะทำได้ยากขึ้นในยุคของ คสช.ที่มีอำนาจรวมศูนย์ เพราะฉะนั้นเอกสารที่มาจากโซเชียลมีเดียจึงไม่มีใครกล้ายืนยันว่าเป็นของจริงหรือไม่”
           จากความเห็นเบื้องต้นในงานสัมมนาทำให้เราได้เห็นภาพของการพยายามควบคุมข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้เพื่อการสื่อสาร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงที่ผ่านมาได้มีความพยายามควบคุมสื่อและการเข้าถึงข่าวสาร ซึ่งได้แต่หวังว่าในปีหน้าการประเมินดัชนีเสรีภาพบนโลกออนไลน์ของไทยจะดีขึ้นมากกว่าเดิม
 ที่มา   www.komchadluek.net/

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น