ความเก่งกาจของผู้กำกับ ฌองฌาคส์ อันโนด์ ไม่เพียงควบคุมท่วงท่า สีหน้า ร่างกาย ของสัตว์ป่า ให้สามารถแสดงอารมณ์อย่างใจหมายแล้ว การบันทึกภาพบรรยากาศรายล้อม ทั้งภูมิประเทศ สภาพอากาศ เพื่อใช้เป็นองค์ประกอบร่วมอันสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องราวในหนังให้เป็นไปตามต้องการ เขาก็ทำได้อย่างเก่งกาจหาตัวจับยากคนหนึ่งในโลกภาพยนตร์ เท่านั้นยังไม่พอ อันโนด์ ยังสามารถสอดแทรกประเด็นสังคม-การเมืองลงไปในหนังได้อย่างแยบคาย และสะท้อนชะตากรรมของมนุษย์ที่ตกอยู่ในวังวนทางการเมืองอันคาบเกี่ยวกับเส้นศีลธรรมอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ความสามารถอันเอกอุเหล่านี้ ทำให้แฟนหนังได้ประจักษ์แก่สายตามาแล้ว ในหนังอย่าง The Bear, The Lover, Seven Years in Tibet และล่าสุดที่ลงโรงฉายในบ้านเราสดๆ ร้อนๆ สัปดาห์นี้คือ Wolf Totem
ใน The Bear อันโนด์ เคยกำกับหมีสีน้ำตาลได้น่ารักน่าชังไว้ฉันใด เขาก็สามารถกำกับเจ้าหมาป่ามองโกลได้ฉันนั้น เขาถ่ายทอดสภาพความหนาวเหน็บ แล้งร้าง ที่ผู้คนบนดินแดนหลังคาโลกต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดและมีศรัทธาในพุทธศาสนาได้อย่างไรใน Seven Years in Tibet อันโนด์ก็ทำให้เรารู้สึกได้ไม่ต่างกันในหนัง Wolf Totem หนำซ้ำ เขายังวิพากษ์การเมืองการปกครองของจีนอีกคำรบในหนังเรื่องหลังที่ย้อนกลับไปใช้บรรยากาศทางการเมืองในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ก่อนจะเกิดขึ้นของยุคสงครามเย็นที่แบ่งระหว่างโลกเสรีประชาธิปไตยและสังคมนิยม ซึ่งเป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยก่อนหน้า The Lover (มีการเมืองในเวียดนามเป็นฉากหลัง) และ Seven Years in Tibet เล็กน้อย ที่สำคัญแก่นแกนในหนังของเขายังว่าด้วย Passion หรือความลุ่มหลงในแรงปรารถนาของมนุษย์อีกเช่นเคย แม้จะแทบไม่แตะเรื่องเซ็กส์แบบโจ๋งครึ่มอย่าง The Lover หรือมีฉากโรมรันอันเร่าร้อนแม้ในกลางสนามรบอย่าง Enemy at the Gates แต่ Wolf Totem ก็ถ่ายทอดให้เห็นความปรารถนาอันแรงกล้าของนักศึกษาหนุ่มชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ในการที่จะสัมผัสโลกที่เขาอยู่อย่างลึกซึ้งและเอาชนะธรรมชาติที่เขามองว่ามนุษย์น่าจะควบคุมได้
ไม่น่าเชื่อว่า 18 ปีก่อน เขาด่ารัฐบาลจีนอย่างไรใน Seven Years in Tibet ปีนี้น้ำเสียงที่เขาพูดถึงจีนในหนัง Wolf Totem ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก นโยบายสร้างชาติในหนังเรื่องล่าสุดกับนโยบายกลืนชาติเพื่อนบ้าน ผ่านหนังเมื่อ 18 ปีที่แล้ว สิ่งที่รัฐบาลจีนทำกับคนของเขาก็ไม่ได้ต่างกัน หากแต่ครั้งนี้เรื่องราวในหนังถูกเล่าผ่านคนในชาติเอง หาได้เล่าผ่านสายตาชาวตะวันตกแต่อย่างใด (แต่ก็มองจีนเป็นชาติที่ชอบรุกรานเสรีภาพคนเชื้อชาติอื่นอยู่เสมอ ซึ่งตัวแทนใน Wolf Totem คือชาวมองโกล) แต่น่าแปลกที่รัฐบาลจีน กลับเห็นดีเห็นงามในสิ่งที่ ฌองฌาคส์ อันโนด์ ทำ ถึงขั้นที่จะนำหนังเป็นตัวแทนประเทศจีนเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศในปีนี้ แต่ก็ถูกตัดสิทธิ์ไป เพราะใช้ทีมงาน-ทุนสร้างจากต่างชาติมากกว่า ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาเคยถูกแบนห้ามเข้าเมืองจีน เพราะทำหนัง Seven Years in Tibet มาแล้ว (มีนักวิจารณ์ต่างประเทศเคยพูดติดตลกว่า หนังที่ได้ออสการ์สาขานี้ ส่วนใหญ่ เป็นหนังที่ตั้งหน้าตั้งตาด่าประเทศตัวเองทั้งสิ้น อาทิ A Separation ปี 2011 ของอิหร่าน, In A Better World ปี 2010 ของเดนมาร์ก, The Counterfeiters ปี 2007 จากออสเตรีย และอีกหลายเรื่อง ซึ่ง Wolf Totem ชัดเจนมากในประเด็นแบบนี้)
คนมองโกล ไม่ต่างอะไรจากคนทิเบต ในสายตาของคนจีนแผ่นดินใหญ่ นั่นก็คือชนเผ่าเร่ร่อนที่ต้องหาทางขจัดให้พ้นทางเพื่อฮุบแผ่นดินที่ทำกินในสูบทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นของตัวเอง เช่น น้ำ น้ำมัน หนังสัตว์ ผลิตผลทางการเกษตรและปศุสัตว์ รวมถึงการเถลิง หลงมัวเมาในความมีอำนาจบาตรใหญ่ด้วยอิทธิพลทางการเมืองการปกครอง
ดูหนังดูละคร ย้อนกลับมามองดูตัว การเมืองไทยในวันนี้ มองในอีกมุมก็แทบไม่ต่างอะไรจากจีนในช่วงเถลิงอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อราว 40-50 ปีก่อนเมื่อชนชั้นปกครองสามารถปฏิเสธ-ปกปิด ความผิดของตนและพวกพ้อง กระทั่งบ่ายเบี่ยงที่ให้ตรวจสอบการทำงานอันมีร่องรอยแห่งความไม่ชอบมาพากล ใน Wolf Totem ชนชั้นใต้ปกครองเหล่านั้น ก้มหน้ารับชะตากรรมและปล่อยให้ธรรมชาติลงโทษต่อไปตามกาลเวลา แต่ในชีวิตจริงนอกจากเวลาจะถูกปล่อยให้เดินอย่างเปล่าเลยไร้ประโยชน์แล้ว เราควรมานั่งทบทวนว่า เมื่อไหร่จะถึงเวลาที่เราจะได้ใช้สิทธิ์ในฐานะเจ้าของประเทศที่แท้จริงเสียที
ขอโทษครับ ที่วิจารณ์หนังซึ่งมีประเด็นการเมืองสอดแทรกเมื่อไหร่ ก็อดไม่ได้ที่จะแทรกสอดประเด็นการเมืองบ้านเราเข้าไปด้วยทุกที แต่ผมเชื่อว่า เราคงไม่อยากเป็นเหมือนคนทิเบต คนมองโกล ที่ตกอยู่ใต้ทอำนาจรัฐโดยไม่ยินยอม โต้แย้ง ในสิ่งอันไม่เหมาะควร หากใครไปดู Wolf Totem จะพบว่าหมาจิ้งจอกมองโกล มันยังมีศักดิ์ศรีกว่าเสียอีก
ที่มา http://www.komchadluek.net/
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น