บิ๊กธุรกิจค้าชายแดนไทย-เมียนมา มั่นใจทิศทางการค้า ลงทุน ท่องเที่ยวในเมียนมาสดใส หลังพรรคเอ็นแอลดีภายใต้การนำของออง ซาน ซูจี เข้าบริหารประเทศ เชื่อจะมีการแก้ไขกฎเกณฑ์หนุนภาคธุรกิจมากขึ้น แนะนักธุรกิจไทยเร่งศึกษาลู่ทางและค้าคู่ค้า ขณะที่ภาครัฐของไทยต้องเป็นผู้นำ แล้วเอกชนตาม คาดคู่แข่งและการแข่งขันจะเพิ่มมากขึ้น
นางสาวผกายมาศ เวียร์รา ประธานคณะกรรมการสาขาเชียงราย สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-เมียนมา และรองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน(แม่สาย) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” หลังพรรคสันติภาพแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(เอ็นแอลดี)ภายใต้การนำของนางอองซาน ซูจี ชนะการเลือกตั้งใหญ่ในประเทศสหภาพเมียนมา และมีแนวโน้มว่าอาจจะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวขึ้นมาบริหารประเทศว่า ขณะนี้ยังเร็วไปที่จะกล่าวถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของเมียนมา เนื่องจากผลการลงคะแนนของประชาชนเพิ่งสรุปลง ยังคงต้องมีขั้นตอนและกระบวนการต่างๆอีกหลายกระบวนการ แต่ในมุมของการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวของผู้ประกอบการไทย ไม่น่าจะมีผลอะไรไปในทางลบ เพราะการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)นั้น ข้อตกลงต่างๆ ทำเพื่อให้เอื้อกับการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวอยู่แล้ว
“ในฐานะที่ทำธุรกิจที่ชายแดน ได้พบปะพูดคุยกันในเรื่องนี้กับองค์กรภาคเอกชนของจังหวัดท่าขี้เหล็ก รวมทั้งผู้ประกอบการต่างๆ ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า ทั้ง 2 พรรค คือ พรรครัฐบาลเดิมและพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง คงต้องมีการพูดคุยเจรจาทางการเมืองกัน การจัดตั้งรัฐบาลน่าจะต้องพิจารณาปัจจัยหลายๆประการอย่างรอบคอบ โดยเชื่อว่าพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน คือรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ จะต้องเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากที่สุด สามารถบริหารประเทศนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่เจริญรุ่งเรืองได้” นางสาวผกายมาศ กล่าวและว่าประชาชนและนักลงทุนต่างชาติยังให้เวลารัฐบาลเมียนมา ทำการจัดทัพและปรับกลยุทธ์ก่อน ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าเมียนมาจะเป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในประชาคมอาเซียนอย่างแน่นอน หากการจัดตั้งรัฐบาลของเมียนมาออกมาเป็นที่พอใจทุกฝ่าย ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างแน่นอน
“ผู้ประกอบการไทยควรเร่งศึกษาลู่ทางการเข้าไปลงทุน เร่งจับคู่พาร์ตเนอร์ที่จะประกอบธุรกิจในเมียนมาร่วมกัน ต้องยอมรับว่าด้วยศักยภาพของเมียนมา ณ วันนี้ ทำให้มีชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจจากทุกภูมิภาคทั่วโลกให้ความสนใจมาลงทุน ได้แต่คาดหวังว่ารัฐบาลเมียนมาจะให้ความสำคัญกับนักธุรกิจจากชาติที่อยู่ในประชาคมอาเซียนมาเป็นอันดับแรก” นางสาวผกายมาศ ระบุ
ด้านนายนิตย์ อุ่ยเต็กเค่ง ที่ปรึกษาคณะกรรมการหอการค้าจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า แนวโน้มการค้าชายแดนคาดว่าจะได้อานิสงส์จากการที่พรรคเอ็นแอลดี ภายใต้การนำของนางออง ซาน ซูจี ชนะการเลือกตั้ง และกำลังจะก้าวขึ้นมาบริหารประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนชาวเมียนมาต่ออนาคตของประเทศ และจะส่งผลต่อเนื่องถึงการจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้น จึงคาดว่าตลาดค้าชายแดนในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่องยาวถึงปี 2559 จะมีอัตราการขยายตัวสูงกว่าเท่าตัวในทุกกลุ่มสินค้า
อย่างไรก็ตาม ทางผู้ประกอบการค้าชายแดน ก็มีความเป็นห่วงมากในเรื่องการแข่งขันในเมียนมาจะเพิ่มมากขึ้น หลังพรรคเอ็นแอลดีชนะการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าเมื่อเข้ามาบริหารประเทศจะมีการแก้ไขกฎหมายสำคัญๆหลายฉบับที่จะเอื้อให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนในเมียนมาได้ง่ายขึ้น รวมทั้งการค้าชายแดนก็จะมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆที่เคยเป็นปัญหาลง ซึ่งจะทำให้การค้าชายแดนมีการขยายตัว แต่ในทางกลับกันการแข่งขันทางการค้าในเมียนมาจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากทุกประเทศจะมุ่งเข้าสู่เนมา
ดังนั้นสิ่งที่ไทยต้องเร่งดำเนินการ คือ การแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆที่เคยกำหนดไว้เพื่อกีดกันทางการค้า ซึ่งในขณะนี้กำลังจะกลายเป็นการกีดกันตัวเอง รัฐบาลไทย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ควรจะเร่งหาช่องทางการขยายตลาดการค้า รวมถึงการลงทุนในเมียนมาให้มากขึ้น ในลักษณะรัฐบาลนำ เอกชนตาม ไม่ใช่เอกชนนำและรัฐบาลตามเช่นปัจจุบัน รัฐบาลควรที่จะเร่งกรุยทางในทุกรูปแบบในการหาช่องทางให้ผู้ประกอบการจากไทยเข้าไปปักฐานในเมียนมาให้ได้
ส่วนนายชัยวัฒน์ วิทิตธรรมวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก กล่าวว่า ในช่วงต้นปี 2559 พรรคเอ็นแอลดีจะเข้ามาบริหารประเทศเมียนมา แม้นางอองซาน ซูจี จะไม่สามารถเป็นประธานาธิบดีได้ แต่ก็มีตัวแทน เข้ามาดำรงตำแหน่ง ตนเชื่อว่าไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะเข้ามาบริหารประเทศ จะต้องมีการบริหารและพัฒนาประเทศต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเมื่อพรรคเอ็นแอลดีเข้ามาบริหารประเทศ จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น ประกอบกับเป็นความต้องการของชาวเมียนมาที่อยากให้นางออง ซาน ซูจี มาบริหารประเทศ เชื่อว่าอย่างน้อย การพัฒนาเศรษฐกิจจะดีขึ้นมากกว่าเดิม เกิดการลงทุนมากขึ้นในยุคเออีซี เพราะนางอองซาน ซูจี ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ซึ่งจะทำให้นักธุรกิจ นักการค้าลงทุนเพิ่มมากขึ้น
ส่วนนโยบายที่พรรค NLD จะมีการนำแรงงานชาวเมียนมา กลับไปทำงานเพื่อร่วมพัฒนาชาตินั้น เชื่อว่าในช่วงนี้ยังไม่สามารถทำได้ทันที คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 4-5 ปี ในช่วงบริหารประเทศ คงต้องรอดูนโยบายที่ชัดเจนในการทำงานในสมัยแรกที่จะมีการเปลี่ยนแปลง สรุปได้ว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้น การพัฒนาระบบสาธารณูปโภค คมนาคม และความเชื่อมั่นในการเข้ามาทำการค้า-พาณิชย์และลงทุน มากขึ้น
ที่มา www.thansettakij.com/
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น